Friday, September 7, 2007

ผมรักภาษาไทยว่ะ

หายไปนานมากเลยนะครับคราวนี้ไม่ได้อัปกะเขาซะทีเลย อ่านแต่ของชาวบ้านอย่างเดียว แถมไม่แสดงความเห็นใดๆอีกต่างหาก แต่ช่างแม่งเหอะวันนี้มานั่งเขียนอยู่นี่ก็ดีแล้วนี่นะ
ช่วงที่ผ่านมาผมเจอกับมรสุมชีวิตหนักเข้ามาหลยๆลูกอยู่เหมือนกันส่วนมากจะเป็นเรื่องงานน่ะที่หนักหน่อย เรื่องเงินก็รองลงมาตามธรรมเนียม แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่มากขึ้นเริ่มคลี่คลายมากขึ้น
ก็ดีแล้วล่ะครับผมจะได้สบายใจซะที

มาเข้าเรื่องดีกว่าตอนนี้ผมมาทำงานอยู่ที่บริษัทอินเต๊อร์ อินเตอร์อยู่ที่นึง ที่นี่งานการทุกอย่างเป็นภาษาปะกิดหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเมล ใบลากิจ ลาป่วย เขียนบึนทึก ทำเอกสารต่างๆ แต่ว่ามันมีข้อสงสัยของผมก็คือว่า
บริษัทที่ผมอยู่ไม่เห็นมีฝรั่งหัวทองหรือชาวต่างชาติแม่งมานั่งอยู่ซักกะคนเดียว ไอ้เรื่องการทำงานแล้วส่งออกไปข้างนอกให้ต่างชาติมันก็น่าจะเข้าใจว่าต้องทำเป็นอังกฤษ แต่ไอ้ที่ไม่เข้าใจก็คือว่า ทำไมไอ้การติดต่อกันภายในของผมทำไมมันต้องเป็นภาษาอังกฤษวะ เคยถามแล้วได้รับคำตอบว่า เพื่อฟามเป็นอินเตอร์

ผมว่ามันตลกดีนะเวลาที่เราพูดกันเรื่องงานเราใช้ภาษาไทย แต่พอเราต้องมาเขียนอะไรซักอย่างให้คนในบริษัทเราต้องใช้อีกภาษานึง (แบบเมื่อกี๊ยังไทยอยู่เลย)เท่านั้นยังไม่พอดี๋ยวนี้ชื่อเรียกของหน่วยราชการหลายๆที่ถูกเรียกเป็นภาษาปะกิดหมดแล้วเวลาคุยกัน เช่น

เอ่อ...เดี๋ยวไอจะไปที่เอ็มโอซีหน่อยนะ ไปเอาอะฟิดาวิท แล้วก็อาร์ทิเคิ้ลออฟแอสโซหน่อย อ้อผมฝากยูหน่อยนะ เรื่องของทีเอ็มของไคลเอิ้นเราน่ะเตรียมพวก แอบให้เรียบร้อยด้วยนะ อย่าลืมนะว่าเราต้องไปไฟล์แคนเซิ้ลเลเชิ้นนะ

หรือแบบนี้...ยูไปเอ็มโอเอฟให้พี่หน่อยสิไอ้พีโอเออันนี้เราต้องไปทำโนตาไร๊ซ์กะลีเกิลไลซ์นะ คีพอินเยอะมายด์นะ เสร็จแล้วไปเก็ทคอปปี้ของโนดที่ แลนด์ออฟฟิศด้วยล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็อินฟอร์มด้วยนะ แล้วกลับมาเขียนรีพอร์ตให้ด้วย

ถุยๆๆ ขากถุย ถุย 500 ที

ผมคิดว่าหลายๆองค์กรธุรกิจมันก็น่าจะเป็นอยู่ในอีหรอบนี้แหละไม่ต่างกันมาก เคยคุยกะเพื่อนบอกเดี๋ยวนี้บางที่คุยกันเป็นภาษาไทยไมค่อยได้แล้ว ต้องโอภาปราศรัยเป็นภาษาต่างประเทศ ทั้งๆที่ไอ้คนพูดมันก็เป็นคนไทย เรียนเมืองไทย จบเมืองไทย บ้านอยู่เมืองไทย โคตรพ่อโครแม่มันก็เป็นคนไทย ต่อให้จบนอกด้วยวะ บางคนบอกไปเรียนเมืองนอกมาแล้วลิ้นแข็ง พู่กไทยมะค่องชัก ซึ่งผมว่าไอ้เรื่องแบบนี้นาะมันเป็นเรื่องของความเออ...ดัดจริตกันมากกว่า เนื่องจากผมมีเพื่อนอยู่คนนึงชื่อตูน เป็นสาวเกือบสวยน่ารัก ไปอยู่ที่เดนมาร์คตั้งกะ ม.สาม ตั้งสิบหกสิบเจ็ดปีแล้วตอนนี้มันมาทำงานอยู่ที่สถานฑูต ตูนยังสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจนมาก ดาได้อีกด้วย แถมมันพูดภาษาดนมาร์คกะอังกฤษได้อย่างน้ำไหลไฟดับ ตรงกันข้ามกะเพื่อนผมอีกคน คนนี้เรียนที่ BAS ของธรรมศาสตร์ ตอนเรียนันธยมก็เรียนที่เมืองไทย บ้านอยู่เมืองไทย ไม่เคยไปเรียนนอกแต่ไหงพอมาเรียนที่เป็นหลักสูตรอินเอร์แล้วกลับพูดภาษไทยไม่ค่อยได้ อ่านภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจ ลืมไปแล้วย่ะ ต้องพูดภาษาอังกฤาตลอดเวลาก็ไม่รู้ ขนาดมันพูดใส่ผมแล้วผผมเล้งกลับไปด้วยภาษาไทยมันก็พูดปะกิดเหมือนเดิม อ้างว่าภาษาไทยออกเสียงยาก เอากะมันดิ

ที่พูดมาไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ชอบภาษาปะกิดหรือไม่ยอมพูดนะ ผมก็รักภาษาอังกฤษเหมือนกันและก็คิดว่ามันจำเป็นต้องใช้ และผมเองก็คิดว่าทักษะด้านนี้ของผมก็น่าจะพอใช้ได้อยู่นา แต่เวลาผมใช้ภาษาอังกฤษผมจะใช้กับคนต่างชาติเท่านั้น กับคนไทยผมไม่ค่อยอยากใช้เท่าไรหรอกยิ่งไอ้ไทยคำอังกฤษคำเนี่ยไม่ค่อยหลุดจากปากผมหรอก

เรามาสร้างวัฒนธรรมการใช้ภาษากันดีกว่าไหมครับ ชาตืไทย มีภาษาเป็นของตัวเองนะครับ มีมานานมากแล้วด้วย ภาษาของเราเป็นภาษาที่งดงามมากนะครับ โคลง ฉันท์ กาพย์กลอนของเราไพเราะแล้วก็สวยมากๆด้วย ระดับภาษาเราก็มีหลายระดับ ภาษาไทยเราพูดกันมาตั้งแต่เกิดนะครับมีอะไรไม่น่าภูมิใจเหรอ ทำมโฆษณาบนรถไฟฟ้าหรือแถวสีลม หรือพวกพัทยา เชียงใหม่ไม่ค่อยมีภาษาไทยแล้ว ทำไมคนในที่ทำงานถึงต้องติดต่อกันเป็นภาษาต่างชาติไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่ามันเป็นความเท่ที่เราพูดภาษาฝรั่งได้ หรือภาษาบ้านเรามันไม่ดีไม่เข้าใจว่ะ ภาษาอังกฤษมันก็ไม่ได้เลียนเสียงได้เยอะมากเท่าภาเราซหน่อย ภาษาอังกฤษเขียนให้อกเสียงว่าไอ้เบื๊อก เควอะ ด๊วด ต่วย หรือ เจ้าจื่อหยาง หรือแหงบๆ เหวอ บรื๊อ ไม่ได้แน่ๆ แฟนสาวชาวญี่ปุ่นของผมยังงงเลยครับเคยถามผมว่าคนไทยไม่รักษาไทยรึไง เล่นเอาเราตอบไม่ถูกเลย

ยิ่งเดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญสูงปรี๊ด เวลาเรียนก็ต้องเรียนโรงเรียนอินเตอร์ มหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์

ยิ่งเวลาสมัครงานด้วยแล้วต้องแสดงภาษอังกฤษด้วย จดหมายเย ปะวัติเอย ใบคะแนนสอบภาษาเอย การสัมภาษณ์เอยเป็นภาษาอังกฤษทั้งน้าน ผมล่ะโคตรเบื่อเลยเวลาไปสัมภาษณ์งานแล้วต้องพูดภาษาอังกฤษกับเหล่าคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่พูดไม่ได้นะ แต่จะพูดให้มันมากมายทำไม มึงกะกูก็คนไทยเหมือน กันนี่ ยิ่งบางที่ด้วยล่ะก็ต้องมีการทดสอบด้วยเช่น ให้แปลไทยป็นอังกฤษ แปลอังกฤษเป็นไทย เขียนเรียงความ เขียนจดหมาย เขียนว่าทำมายแกอยากมาทำงานกะชั้นยะ เขียนความมุ่งหวังในชีวิต และอื่นๆอีกมากมาย แถมบางที่เท่าที่รู้มาก็ตอนเข้าไปทำงานก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอกไอ้ที่ว่านะ ตัดแปะลอกกันเช็ดทั้งนั้นล่ะว่ะ ตอนหลังบางที่ผมรำคาญมากผมเลยเขียนคำว่า FUCK ลงไปซะจะได้จบเรื่องไป

มีที่ทำงานที่นึงที่ผมเคยทำแล้วผมประทับใจถึงความรักภาษาไทยของเจ้านายเก่าผม คือที่ปูนซิเมนต์ไทย นายเก่าผมเคยบอกผมว่า เอ็งพูดกะเขียนภาษาไทยยังไม่เก่งเลย อย่าพ่งกระแดะไปเล่นภาษาปะกิดสิวะ เอาภาษาเราให้ดีก่อนดีกว่านะ... นี่เป็นไงคนพูดนี่จบคอร์แนลนะครับ แถมภาษาอังกฤษทั้งพูดฟังอ่านเขียนก็เด็ดสุดขั้วเสียด้วยสิ

เลิกเถอะครับเลิกพูดไทยคำอังกฤษคำซะที เลิกพูดภาษาอังกฤษในหมู่คนไทยด้วยกันซะที แล้วสำหรับพวกบริษัทไทยแท้ๆน่ะครับก็ช่วยเลิกทับศัพท์หรือแปลชื่อหน่วยงานจากไทยเป็นอังกฤษกันซะที ถ้าจะให้ดีควรหยุดการเขียนเอกสารต่างๆเป็นภาษาอังกฤษด้วย ถ้าคุณไม่ได้ทำงานให้คนต่างชาติหรือส่งไปให้ลูกค้าต่างชาติละก็นะ ภาษาไทยเรายังมีดีอีกเยอะครับ คนไทยน่าจะทำตามหลายๆชาติในเอเชียเนอะที่ภูมิใจและรักภาษาตัวเองจนขนาดว่าหากคนต่างชาติอยากไปลงทุนหรืทำธุรกิจในบ้านเขาต้องเรียนภาษานั้นก่อน ป้ายโฆษณาหรืออะไรหลายๆอย่างก็เป็นภาษาประจำชาติซะส่วนมาก ไม่ใช่เหมือนคนบ้านเราที่เดี๋ยวนี้คิดว่าภาษาไทยมันไม่ค่อยเท่แล้ว

ผมรักภาษาไทยจริงนะครับแล้วก็ภูมิใจที่เป็นคนไทยด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะได้พูดภาษาไทยล้วนไปได้ตลอดจนถึงเมื่อไร ไม่แน่เนะครับอีก 10 ปีเราอาจจะไม่มีภาษาไทยแล้วก็ได้ถ้าบ้านเรายังเป็นแบบนี้

รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทำนุบำรุงให้รุ่งเรื่อง สมเป็นเมืองของไทย

Friday, May 4, 2007

ความสัมพันธ์คืบหน้า

ผมพายูโกะไปนั่งที่ร้านส้มตำข้างถนนพระอาทิตย์ มีพวกขี้เหล้านั่งอยู่สองสามโต๊ะ บริเวณพื้นเต็มไปด้วยนำครำ และยุงที่ชุกชุม แล้วถามเธอว่า
"ยูโกะจะกินอะไรดีครับ"
ยูโกะนั่งคิดอยู่แป๊บนึงแล้วบอกว่าเอาส้มตำไทยไม่เผ็ด ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของผม
ผมสั่งคอหมูย่าง ต้มแซ่บเครื่องใน ตับหวาน แล้วข้าวเหนียวสองกระติ๊บมาเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแก่เธอ
อาหารมื้อนั้นทำให้ผมได้รู้จักเธอมากขึ้นกว่าเก่าพอสมควรเรียกว่าสามารถเก็บข้อมูลไปได้เยอะเชียวหละที่สำคัญผมได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมาด้วย
วันรุ่งขึ้นผมโทรไปหายูโกะตอนกลางวันถามเธอว่าอยากจะไปเที่ยวพัทยาด้วยกันหรือปล่าว แน่นอนคำตอบที่ผมได้รับคือไม่
แต่คนอย่างผมน่ะหรือจะยอมแพ้กะไอ้เรื่องขี้ผงๆเท่านี้ หลังจากกลับมาจากพัทยาแล้ว ผมก็ยังไปที่ชุมนุมเพาะกายอยู่ทุกวันเพื่อไปดักรอเธอ แต่ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือเธออยากจะหนีผมก็ไม่รู้ผมไม่เจอเธอเลยว่ะ และที่แย่กว่านั้นก็คือยูโกะไม่เคยรับโทรศัพท์ของผม และก็ไม่เคยโทรมาหาผมเลย......

ไม่ได้มาตั้งนาน

ผมไม่ได้เข้ามาเขียนนานประมาณ 4 เดือนได้มั้งตั้งกะแฟนผมกลับญี่ปุ่นไป ความขี้เกียจกับความยุ่งของงานแล้วก็เรื่องชีวิตหลายๆอย่างมันทำให้ไฟในการเขียนหมดลงไปเยอะเลย
ชีวิตที่ผ่านของผมเป็นแบบนี้ครับ
1. ผมมีงานใหม่ทำที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ที่นี่ผมต้องกลายเป็นเนติบริกรไปซะแล้ว ตอนนี้ทำงานอะไรมีแต่ธงมาก่อนทั้งน้านเลยว่ะ ยอมรับว่าเบื่อชิบเป๋ง แต่บางทีมันก็อย่างว่าล่ะครับ เงินเลี้ยงชีพ กับอุดมการณ์จะเอาอะไร อย่างแรกมันก็คือเงินแหละเนอะ แล้วถ้าผมมีโอกาสผมก็อยากทำงานตามอุดมการณ์ของผม(หวังว่าเป็นอย่างนั้น)
2. ความสัมพันธ์ของผมกับยูโกะตอนนี้ยังอยู่กันดีนะครับไม่ต้องเป็นห่วงมาก เรายังคุยกันทุกวันเหมือนเดิม และผมก็รักผู้หญิงคนนี้เหมือนเดิม
3. ผมพบว่าผมเก่งภาษาปะกิดขึ้นเล็กน้อยจากคะแนนโทอิกที่ไปสอบมา และก็กินเหล้าได้มากขึ้นกว่าเก่า
4. ผมพบว่าบางทีการช่วยเหลือคนอื่นก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขนัก ไว้จะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
5. ไอ้บล็อกแบบใหม่นี้แม่งใช้ยากดีว่ะ

Tuesday, October 31, 2006

ตอนที่ 2

ผมเดินเข้าไปหายูโกะที่กำลังเช็ดหน้าอยู่แล้วแนะนำตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่น
"เอ่อ วาตาชิว่า...เจด เดส ครับ"
"พูดภาษาไทยได้ค่ะ" ยูโกะตอบกลับมาที่ผมแล้วยิ้มพร้อมกับโค้งให้นิดหน่อยตามลักษณะคนญี่ปุ่น
ผมสะดุ้งแล้วถามต่อ
"อ้าว พูดไทยได้เหรอครับดีจังชื่ออะไรครับ"
"ชื่อยูโกะค่ะ" เธอบอกผมแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอีก
หลังจากนั้นผมเริ่มรู้สึกตัวว่าผู้หญิงคนนี้ "ยาก"หมายถึงสนิทด้วยยากนะครับ
เพราะว่าวันนั้นผมคุยกับเธอเพียงแค่นั้นตริงๆ ยูโกะไม่ได้สนใจอะไรผมอีกเลย ผู้หญิงคนนี้หยิ่งมากกกกกกกกกก
อย่างไรก็ตามคติของผมคือ ต้องพยายามและดักลอบต้องหมั่นกู้เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว
ผมพยายามไปที่ชุมนุมทุกวัน แน่นอนผมไม่ได้ตั้งใจไปเล่นกีฬาหรอกผมตั้งใจไปหายูโกะมากกว่า
แต่เธอก็ไม่ค่อยสนใจผมเหมือนเดิม วันนึงๆยูโกะคุยกับผใอย่างมากก็แค่ 2-3 คำเอง
สิ่งที่ผมทำได้ก็คือดูเธอซ้อมมวยแล้วก็ข้นไปเล่นด้วยบ้างก็เท่านั้น
................
...............
แล้วโอกาสก็มาจนได้วันที่ผมได้กินข้าวมื้อแรกกับเธอ
วันอากาศเริ่มหนาว ท้องฟ้ามืดเร็วผิดกวาปกติ เธอซ้อมมวยเสร็จแล้วนั่งอยู่หน้าห้องเพาะกาย
ผมเดินเข้าไปยิ้มและพูดกับยูโกะ
"เอ่อ ยูโกะครับพรุ่งนี้เย็นไปเที่ยวพัทยากันไหมครับ เราจะไปกับเพื่อนๆexchange student ก็ไปนะ ตูนกับเสตฟไง"
ยูโกะทำหน้ายิ้มและมีสีหน้าบอกให้รู้ว่าตัดสินใจลำบาก
"อื้ม.....ไม่รู้นะ...อยากไปน้า แต่......คิดยากน้า"
"เออ งั้นไม่เป็นไรไปกินข้าวกันมั๊ย"
"ไปค่ะ"
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเกือบคิดว่าฝันไป ความจริงอยากจะตบหน้าตัวเองว่าเจ็บหรือเปล่าแต่ไม่กล้าทำต่อหน้าเธอเดี๋ยวเค้าจะหาว่าผมบ้า
"จริงเหรอรอแป๊บนะเดี๋ยวเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน"ว่าแล้วผมก็รีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดจากชุดกีฬาเป็นชุดทำงานทันที
คืนวันนั้นผมพายูโกะเดินออกไปทางท่าพระอาทิตย์ เดินเล่นทางเรียบริมแม่น้ำแสงไฟ แสงดาวดูสวยเป็นพิเศษสำหรับคืนนี้
"กินอะไรดีครับ"
"อะไรก็ได้ค่ะ"
ผมถามกลับด้วยความกวนตีนของผม
"เรอะ งั้นกินส้มตำดีไหม"
ยูโกะได้ยินแล้วทำตาโต ดีใจ
"จริงเหรอ!!ยูโกะชอบส้มตำค่ะ"
คำตอบของเธอทำให้ผมนิ่งไปประมาณ 5 วินาทีโธ่อาหารมื้อแรกทำไมเป็นส้มตำวะ?
"จ๊ะ ดีจ๊ะกินส้มตำก็ได้"

Friday, October 27, 2006

วันแรกที่เวทีมวย

ตูม!!!เปรี้ยง!!! ตุบตับๆๆ
เสียงของชมรมมวยและชมรมเพาะกายของธรรมศาสตร์ดังอยู่อย่างนี้เสมอๆทุกเย็นหลังเลิกเรียน ผมมักจะไปที่นั่นบ่อยๆเป็นประจำ เนื่องจากเคยเป็นประธานเพาะกายมาก่อน แม้ว่าตอนี้จะเรียนจบแล้วตาม
"อ้าว เจด ไปไหนมาวะนั้งก่อนๆ วันจะเอากี่ยกล่ะ"
ครูยุทธทักผมอย่างเป็นปกติทุกครั้งที่เจอผม พูดพลาดส่งบุหรี่วันเดอร์ยี่ห้อโปรดของแกให้
ผมรับมาบุหรี่มาแล้วจุดดูดพ่นควันให้เป็นรูปมังกร
"ไม่ได้ไปไหนหรอกครู มาอ่านหนังสือแล้วแวะมายืดเส้นหน่อย"
ครูยุทธหัวเราะหึหึแล้วว่า
เออ เออ ยืดเส้นเห็นมาทีไรก็นั่งคุยทุกที ไว้เจดค่อยเล่นตอนมืดๆก็ได้ ตอนนี้คนมันเยอะพวกนักเรียนแลกเปลี่ยนมันมาจากไหนไม่รู้ ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน แขก เกาหลี ฮ่องกง เต็มเวทีเลย"
ผมมองตามสายครูที่มองไปบนเวที อืมคนมันเยอะจริงๆแฮะสงสัยต้องรอตอนมืด
ผมมองดูไปพลางสูบบุหรี่พลาง แล้วผมก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงร้อง
ย้ากกกกก!!!ตามมาด้วยเสียงของแข้งฟาดเข้ากับเป้า ตูม!!!
แล้วก็ตามมาอีกหลายชุด ย้ากๆๆๆๆๆตูมๆๆๆๆๆๆเปรี้ยงๆๆๆๆ
ผมกลืนน้ำลายไป10ครั้งแล้วหันไปถามครู
"ครูนั่นใครอ่ะผู้หญิงคนนั้น? ญี่ปุ่นใช่ป่ะ? เตะหนักชิบเป๋งเลย ถ้าผมโดนเตะนี่คงแย่นะ หน้าสวยๆอย่างนี้ก็มาเรียนมวยด้วยแฮะ
วันก่อนยังเห็นที่โรงอาหารอยู่เลยนึกว่าจะทำสวยๆอย่างเดียวซะอีก"
ครูยุทธยักคิ้วให้ผมก่อนจะตอบ
"ชื่อยูโกะน่ะมาจากญี่ปุ่นพึงมาเองนะ ทำไมชอบเหรอ"ครูถามพลางยิ้มๆ
ผมหันไปมองเธอครั้งหนึ่งแล้วหันมาตอบครูยุทธ
"ชอบมาตั้งนานแล้วว่ะครู ผมเคยเห็นที่โรงอาหารมาก่อนแล้วน่ารักเป็นบ้า สวยจะตายผมว่านะเอานางสาวไทย ทุกปีมารวมกันยังไม่ได้เท่าเธอเลย"
ครูยุทธหัวเราะก๊าก
"โห เพ้อเจ้อจริงๆ คิดอย่างนั้นเลยเรอะ ดีใจล่ะสิ นั่นๆเขาจะลงมาแล้วไปหาเขาดิ"
ผมว่า "ไม่ต้องบอกผมก็ไปหาอยู่แล้ว"
จากนั้นผมก็เดินไปหาเธอขณะที่เธอกำลังแกะผ้าพันมือ แล้วก็เช็ดหน้า
ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มแรงพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นเกนเหตุ อีกไม่กี่วินาทีแล้วสินะ ที่ผมจะได้รู้จักกับเธอ
ยูโกะ.....

Wednesday, May 24, 2006

เรื่องเดียวที่ให้ไม่ได้

To whom it may concern this is what's on my mind

มีอะไรที่ตัวฉันทำได้ เคยบ้างไหมไม่ทำเพื่อเธอ

ถ้าสิ่งใดเป็นความต้องการของเธอ
จะทำเสมอไม่ว่ายากเย็นแค่ไหน
แต่ที่เธอขอให้ฉันหลีกทาง
เพื่อให้เขาได้ก้าวเข้ามา
ตอนที่เธอพูดมาคิดถึงใจฉันบ้างไหม
ที่เธอขอฉันที่เธอต้องการมากไปหรือเปล่า
อยากไปกับเขาเธอขอฉันมากไปไหม
ส่งคนที่รักให้คนอื่นไปฉันทำไม่ไหว
แค่เพียงเรื่องเดียวฉันขอเธอบ้างได้ไหม
เรื่องเดียวที่ให้ไม่ได้
ดาวและเดือนถ้าเด็ดให้เธอได้
ฉันก็พร้อมจะทำให้เธอ
ที่ผ่านมาที่ทำที่ให้เธอมันน้อยไปหรือ
มันยังไม่พออีกหรือ
แต่ที่เธอขอให้ฉันหลีกทาง
เพื่อให้เขาได้ก้าวเข้ามา
ตอนที่เธอพูดมาคิดถึงใจฉันบ้างไหม
ที่เธอขอฉันที่เธอต้องการมากไปหรือเปล่า
อยากไปกับเขาเธอขอฉันมากไปไหม
ส่งคนที่รักให้คนอื่นไปฉันทำไม่ไหว
แค่เพียงเรื่องเดียวฉันขอเธอบ้างได้ไหม
เรื่องเดียวที่ให้ไม่ได้
...........................................................

กำลังแย่ เหงาและกลุ้มใจเครียดโว้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Wednesday, April 26, 2006

สวัสดีปี๋ใหม่เมือง

ไม่ได้เขียนมาตั้งนานเลยนะครับจนเพื่อนๆพี่ต่างพากันรุมสวดผมกันยับเยิน แต่เอาน่าๆผมมาเขียนแล้วนะ
สงกรานต์ที่ผ่านมาผมไปเที่ยวเชียงใหม่มาครับ เดินทางไปด้วยรถไฟจากหัวลำโพงกับยูโกะ สนนราคาแพงมาก(สำหรับผม)คนละ 900 บาทถ้วนเที่ยวเดียว
แล้วก็ไม่ใช่รถนอนนะครับ นั่งตลอดครับ 15 ชั่วโมง คิดเอาละกันตูดงี๊เมื่อยอย่าบอกใครเชียวล่ะ
พอไปถึงเชียงใหม่เราก็ไปพักกันที่ guest house ใกล้ประตูท่าแพรครับชื่อ libra แค่คืนละ 350 บาทเอง ห้องแอร์เย็นฉ่ำ มีนำอุ่นด้วยนะ แถมคุณป้าเจ้าของก็ใจดี
ความจริงพอพูดถึงเรื่องนี้แล้วเนี่ยผมมีเรื่องนึงไม่ค่อยเข้าใจว่ะ คือผมไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้ guesthoues บางที่ถึงไม่ยอมรับให้คนไทยเข้าพักนะ เราก็คนไทยด้วยกัน แทนที่จะให้คนไทยเจ้าของประเทศได้พักในราคาถูกๆ เช่นค่าห้องคืนละ 200-300 กลับเสือกใสให้ไปโน่น พักโรงแรมแพงๆหน่อยคืนละ1000 ขึ้น นั่งรถทัวร์ราคา 600 บาท แต่รู้ไหมครับถ้าเป็นคนต่างชาติมันนั่งแค่ 250-300 บาท ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอก มันอาจจะเป็นวิธีส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือพัฒนาเศรษฐกิจห่าเหวอะไรก็ช่างแม่ง แต่ผมว่ากำลังทรัพย์เนี่ยยังไงๆ เราก็แพ้คนต่างชาติ เงินเราก็น้อย(แต่กูอยากเที่ยวในประเทศกูอ่ะ)เสือกต้องไปเจอค่าครองชีพในยามท่องเที่ยวที่แพงมหาโหด แต่กับพวกต่างชาติทำไมค่าทุกอย่างมันถูกกว่าเราวะ ค่ารถ ค่าเรือ ค่าที่พัก ค่าจัดนำเที่ยวแบบเดินป่าสวยๆที่คนไทยไปไม่ได้ หรือถ้าอยากไปก็เตรียมงบให้เยอะๆหน่อย ห่าแม่งเป็นพ่อเราหรือไง
กลับมาเรื่องสงกรานต์ดีกว่านะครับ ที่เชียงใหม่เขาจะเล่นน้ำกันเฉพาะในตอนกลางวันเท่านั้น ประมาณ 9 โมงก็เล่นกันแล้ว จุดที่เล่นน้ำก็เล่นกันตามคูเมืองนั้นแหละครับ น้ำที่ใช้เล่นก็น้ำในคูน่ะแหละประตูท่าแพรนี่จะเด็ดที่สุด ทั้งปริมาณคน ความสนุก ความสวยของสาวๆ แล้วที่นี่เล่นน้ำกันผมสังเกตุดูจะเล่นกันค่อนข้างสุภาพนะ คือตักน้ำรดกันบ้าง หรือสาดกันบ้าง หาพวกที่เตะปากกัน หรือสาดกระสุนแทนน้ำไม่ค่อยมี ต่างจากมหานครแห่งความสุข ที่พวกตัวโกงบ้ากามเกลื่อนเมืองคอยแต่จับนมผู้หญิง ไม่ก็พวกกระเทยคอยจับคะวะยะคุงของผู้ชาย ไม่ก็สาดกระสุน แจกมีด ให้ไม้กันเป็นของขวัญ ไม่เชื่อผมหรือ? ปีหน้าลองไปดูที่ข้าวสารสิครับ
อย่างไรก็ตามมาเที่ยวครั้งนี้ผมก็ไม่ได้สัมผัสกับเชียงใหม่เท่าใดนัก ไปแค่ดอยสุเทพเอง แล้วก็กินนอนเล่นน้ำ และเล่นน้ำ... แต่ก็มีความสุขมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเพราะว่าได้ไปกับคนที่ทำให้เรามีความสุข
รักเธอนะแล้วก็สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน

Thursday, March 23, 2006

ไม่ค่อยว่างครับ

ตอนนี้ไม่ค่อยว่างกำลังมีความรัก
อดใจรอหน่อยแล้วจะมาเล่าให้ฟัง พร้อมกับงานแบบโลกา